หนึ่งในเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านชิ้นสำคัญคือ พรมปูพื้น ที่นอกจากเพิ่มความสวยงามหรูหราให้กับบ้านแล้ว ยังช่วยปกป้องพื้นบ้านจากสิ่งสกปรกต่าง ๆ อีกด้วย การตกแต่งบ้านถือเป็นเรื่องที่เจ้าของบ้านหลายคนให้ความสำคัญ เพราะแม้จะเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ หากตกแต่งให้เหมาะสมก็ทำให้บ้านน่าอยู่ กลับบ้านมาแล้วให้ความรู้สึกเหมือนได้พักผ่อน มีความอบอุ่น เหมือนหลุดเข้ามาในโลกส่วนตัวจริง ๆ วันนี้เราจะแนะนำเทคนิคการเลือกพรมให้เหมาะกับบ้านที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน
พรมปูพื้นมีกี่แบบ แตกต่างกันอย่างไร?
พรมสำหรับปูพื้นสำหรับคนที่อยากให้บ้านดูสวยงามและหรูหรามากขึ้น พรมถือเป็นสิ่งที่จะขาดไม่ได้เลย เพราะนอกจากมันจะมีความสวยงามหรูหราอยู่ในตัวเองแล้ว มันยังช่วยเสริมให้เฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ในห้องนั้น ๆ ดูเด่นขึ้นได้อย่างคาดไม่ถึง ซึ่งพรมที่วางขายอยู่ในปัจจุบันมีหลายประเภทดังต่อไปนี้
- พรมไนล่อน (Nylon) พรมยอดนิยม หาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพงมาก มีคุณสมบัติสามารถป้องกันเชื้อราต่าง ๆ ได้ดี ดูแลรักษาง่าย แถมยังมีสีสันให้เลือกหลากหลาย เหมาะสำหรับใช้วางในห้องที่มีคนเดินผ่านบ่อย ๆ หรือเป็นบริเวณเชื่อมต่อกับโซนเทอเรซซึ่งเป็นโซนที่มีฝุ่นมาก เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก หรือโถงทางเดิน เป็นต้น
- พรมขนสัตว์ (Wool) พรมปูพื้นสุดคลาสสิคที่มีทั้งความสวยงาม หรูหรา ให้สัมผัสที่หนานุ่ม แต่กลับแข็งแรงทนทาน พรมขนสัตว์เป็นพรมที่มีราคาแพงมากเป็นอันดับต้น ๆ แถมการดูแลรักษาก็ยุ่งยาก ต้องระวังแมลงต่าง ๆ รวมถึงทำเลที่วางพรมจะต้องเป็นทำเลที่แดดส่องไม่ถึง เพราะแดดเป็นตัวการทำให้สีของพรมซีดได้ง่าย ส่วนใหญ่จึงมักใช้วางในห้องรับแขกเพื่อโชว์ความหรูหรา
- พรมโพลีเอทิลีน (Polyethylene) พรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะผลิตจาก “พลาสติกรีไซเคิล” มีคุณสมบัติป้องกันคราบสกปรกได้ดีเยี่ยม แถมราคาก็ไม่แพง แต่ข้อเสียคือเนื้อสัมผัสจะไม่ค่อยนุ่มสบายเท่าไหร่
- พรมโพลีโพรไพลีน (Polypropylene) พรมปูพื้นที่ได้รับความนิยมมากรองจากพรมไนลอน มีคุณสมบัติป้องกันคราบสกปรกต่าง ๆ ได้ดี ทำความสะอาดง่าย แถมยังมีเนื้อสัมผัสที่หนาหนุ่มคล้ายพรมขนสัตว์ มีราคาไม่แพงเท่าพรมขนสัตว์ แต่ข้อเสียคือ สีซีดง่ายเมื่อโดนแสงแดด
- พรมโพลีเอสเตอร์ (Polyester) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พรมเส้นใยสังเคราะห์ มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มฟู ป้องกันสิ่งสกปรกได้ดี แต่มีความทนทานน้อย ไม่เหมาะกับการใช้งานหนัก เหมาะสำหรับปูไว้ในห้องที่ไม่ค่อยมีคนเดินไปเดินมา เช่น ห้องนอน เป็นต้น
- พรมทริเอกซ์ต้า (Triexta) พรมสังเคราะห์คล้ายพรมโพลีเอสเตอร์ แต่เส้นใยจะมีความทนทานมากกว่า ไม่ฉีกขาดง่าย ทนทานต่อการใช้งาน กันคราบสกปรกและน้ำได้ดี แถมยังนุ่มกว่า เรียกว่าเป็นพรมโพลีเอสเตอร์รุ่นอัพเกรดก็ว่าได้
เทคนิคการเลือก พรมปูพื้น
แม้ว่า พรมปูพื้น จะช่วยให้บ้านดูสวยงามหรูหราขึ้น และยังช่วยให้คนในบ้านรวมถึงแขกที่มาบ้านเดินอย่างสบายเท้า แต่ถึงอย่างนั้นพรมที่วางขายอยู่ตามท้องตลาดก็มีด้วยกันหลายแบบหลายขนาด ซึ่งพรมแต่ละแบบก็เหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกัน การเลือกซื้อจึงพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ หลายอย่างดังต่อไปนี้
- วัสดุของพรม อย่างที่เราบอกไปแล้วว่าพรมมีหลายแบบ มีทั้งเส้นใยสังเคราะห์, วัสดุธรรมชาติ ไปจนถึงวัสดุรีไซเคิล ซึ่งแต่ละแบบมีคุณสมบัติแตกต่างกัน ความทนทานก็ย่อมต่างกัน หากนำพรมไปใช้ผิดประเภทก็อาจทำให้พรมเสียหายได้เร็ว ควรเลือกซื้อพรมให้เหมาะกับห้องที่จะนำไปวาง เช่น ห้องนั่งเล่น ควรเลือกพรมไนล่อนที่มีราคาไม่แพง แต่แข็งแรงทนทาน ดูแลรักษาง่าย เป็นต้น
- สไตล์ของพรม รูปแบบ หรือสไตล์ของพรมขึ้นอยู่กับแบรนด์ผู้ผลิต บางยี่ห้ออาจจะเป็นแบบคลื่น บางยี่ห้ออาจจะเป็นแบบเรียบ บางยี่ห้ออาจเป็นแบบขนปุย การเลือกจึงต้องพิจารณาจากการใช้งาน เช่น หากต้องการพรมสำหรับปูไว้ในห้องนั่งเล่น หรือห้องรับแขก ก็อาจเลือกพรมสไตล์ขนปุยที่นุ่มสบายเท้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนด้วย
- ขนาดของพรม พรมมีหลายขนาด ควรเลือกให้เหมาะสมกับพื้นที่ที่ต้องการปู โดยพรมขนาดมาตรฐานจะอยู่ที่ 3×5, 4×6 และ 6×9 หากต้องการพรมขนาดใหญ่กว่านี้อาจต้องสั่งทอพิเศษกับผู้ผลิต
- สีของพรม สีของพรมแต่ละสีมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เช่น หากเลือกพรมสีที่เป็นกลางอย่างสีเบจ หรือสีเทา จะทำให้เห็นคราบต่าง ๆ ได้ง่ายหากถูกทำให้เลอะ แต่ขณะเดียวกันการที่เราเห็นคราบ หรือสิ่งสกปรกบนพรมได้ชัดเจน ก็ช่วยให้สะดวกในการทำความสะอาด หรือหากเลือกพรมสีเข้มหรือสีแดง แม้จะช่วยสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น แต่ก็ซ่อนคราบต่าง ๆ ได้ดีจนยากต่อการทำความสะอาด
วิธีการทำความสะอาด พรมปูพื้น
เมื่อพูดถึงการทำความสะอาด พรมปูพื้น หลายคนอาจจะคิดถึงการนำพรมไป “ซัก” เพียงอย่างเดียว ทั้งที่ความจริงแล้ววิธีการทำความสะอาดพรมมีด้วยกันหลายวิธี ควรเลือกใช้ตามความเหมาะสมโดยอิงอยู่กับระดับความสกปรกของพรม โดยวิธีการทำความสะอาดที่เหมาะสมมีดังต่อไปนี้
- ดูดฝุ่น หากพรมไม่ได้เปรอะเปื้อนมากนักก็ใช้เพียงเครื่องดูดฝุ่นเริ่มดูดฝุ่นทั้งแนวนอนและแนวตั้ง หากจุดที่เข้าถึงยาก เช่น บริเวณขอบของพรมและแผ่นฐานรองที่มักเป็นจุดสะสมของฝุ่น ให้ใช้อุปกรณ์ดูดฝุ่นประเภทหัวเล็กที่เข้าทำความสะอาดซอกเล็กตามขอบพรมเพื่อทำความสะอาด ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
- ซักพรม หากพรมมีคราบสกปรกที่เห็นชัด หรือเป็นพรมที่ปูในจุดที่มีการใช้งานเป็นประจำ เช่น โถงทางเดิน หรือ ห้องนั่งเล่น ก็ควรใช้วิธีซักทำความสะอาด ซึ่งการซักก็มีด้วยกัน 2 วิธี คือ “ซักเปียก” กับ “ซักแห้ง” โดยการซักเปียกคือ การนำน้ำยาทำความสะอาดพรมมาผสมน้ำแล้วใช้แปรงขนอ่อน ๆ ขัดลูบขนไปในทางเดียวกันทั่วผืน แล้วล้างน้ำให้สะอาดก่อนนำไปผึ่งให้แห้ง ส่วนการซักแห้งคือการนำผงซักแห้งโรยบนพรม แล้วใช้แปรงขัดสิ่งสกปรกออกจนหมด จากนั้นใช้เครื่องดูดฝุ่นซ้ำ
จะเห็นได้ว่าของตกแต่งบ้านชิ้นเล็ก ๆ ที่หลายคนมักจะมองข้ามอย่าง พรมปูพื้น แฝงไปด้วยรายละเอียดปลีกย่อยมากมายทั้งวัสดุที่นำมาทำเป็นพรม แบบพรม หรือวิธีทำความสะอาดพรม ซึ่งเราหวังว่าสาระความรู้ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้จะช่วยให้ผู้อ่านทุกท่านสามารถนำไปใช้เพื่อเลือกซื้อพรมได้ตรงกับความต้องการของตัวเอง รวมถึงดูแลรักษาพรมได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากพรมวางอยู่ในบ้านเราตลอดเวลา หากเราไม่ดูแลทำความสะอาดอย่างถูกวิธีก็อาจทำให้มันกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคต่าง ๆ จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนในบ้านได้
ที่มาข้อมูล: livinginsider , thaisloveshopping , my-best.in.th , bestreview , inmindclean