สำหรับสายท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งกับสถานที่ท่องเที่ยวในเขตพระนคร เพราะเต็มไปด้วยกลิ่นอายทางวัฒนธรรมของกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่สำคัญนักท่องเที่ยวไม่ว่าจะต่างชาติ หรือไทย ต่างนิยมเดินทางมาพื้นที่รอบ ศาลหลักเมือง เพราะมีขนส่งระบบสาธารณะครบครัน เดินทางมาที่เดียวก็เดินเท้าชมสถานที่อื่น ๆ ต่อได้ง่าย ดังนั้นการทำความรู้จักกับพื้นที่ย่านเกาะรัตนโกสินทร์ให้มากขึ้น ย่อมช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับชมสถานที่ท่องเที่ยวได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ประวัติของ ศาลหลักเมือง ที่น่ารู้
ตามโบราณราชประเพณีแล้ว เมื่อสร้างเมืองหลวงใหม่ จำเป็นต้องมีศาลหลักเมืองเพื่อความสิริมงคล เสริมบารมีดวงบ้านดวงเมือง และคุ้มครองปกปักษ์รักษาเสาหลักเมืองด้านใน ซึ่งในปี 2325 สมัยรัชกาลที่ 1 ได้มีการก่อสร้างศาลฯ ขึ้นเป็นครั้งแรกหลังย้ายเมืองหลวงจากกรุงธนบุรี โดยลักษณะภายนอกของศาลปัจจุบัน เป็นอาคารทรงยอดปรางค์สีขาวทั้งหลัง มีมุขยื่นออกมาทั้ง 4 ด้าน (จตุรมุข) ทางเข้า 4 ประตู ตามแบบสถาปัตยกรรมเหมือนอยุธยาในอดีต
โดยแต่เดิมนั้น ศาลฯ ไม่ได้มีรูปลักษณ์เหมือนกับที่เห็นในทุกวันนี้ เพราะผ่านการบูรณะหลายครั้ง ซึ่งโครงสร้างของศาลฯ ครั้งแรก เป็นเพียงศาลาไม้ที่ปลูกเพื่อกันแดดกันฝนเท่านั้น ทำให้เสาหลักเมืองที่ประดิษฐสถานอยู่ด้านในเกิดการชำรุดทรุดโทรม
เมื่อกาลเวลาผ่านไปรัชกาลที่ 4 จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเสาหลักเมืองขึ้นอีกหลัก ทำให้เสาหลักเมืองที่ประดิษฐสถานรวมทั้งหมดมี 2 หลักตามที่เราเห็นในปัจจุบัน แต่หากสงสัยว่าเสาหลักใดเป็นเสาที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 และเสาใดสร้างขึ้นในสมัยรัชกลาลที่ 4 ก็ให้สังเกตจากลักษณะภายนอกได้ เพราะเสาหลักที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 จะมีความสูงกว่าเสาหลักสมัยรัชกาลที่ 1 เล็กน้อย
นอกจากนี้ด้านในศาลฯ ยังมีหอเทวดาประดิษฐานอยู่ด้วย โดยองค์เทพารักษ์ที่ทำหน้าที่ปกปักรักษาบ้านเมือง มีทั้งหมด 5 องค์ ได้แก่ พระกาฬ พระทรงเมือง พระเสื้อเมือง เจ้าพ่อเจตคุปต์ และเจ้าพ่อหอกลอง ซึ่งแต่เดิมหอเทวดา กับตัวศาลก็ไม่ได้ตั้งใกล้กัน แต่เมื่อมีการตัดถนนเชื่อมต่อ ทำให้มีการรื้อหอเทวดาหลังเดิม แล้วนำมาสร้างอยู่รวมกันตามที่เห็นเหมือนทุกวันนี้
ด้วยความขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจำนวนมาก หลั่งไหลเดินทางมากราบไหว้องค์พระหลักเมือง เพราะเชื่อกันว่าเมื่อมาขอพร จะช่วยหนุนดวง ต่ออายุ ไร้โรคภัยไข้เจ็บ และหลังจากบูชาเสร็จ ก็ไปชมแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ บนเกาะรัตนโกสินทร์ต่อได้ด้วย
แนะนำที่เที่ยวรอบ ศาลหลักเมือง มีแลนด์มาร์กใดที่น่าสนใจบ้าง
- พระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
อยู่ใกล้กับศาลฯ เพียงไม่กี่เมตร แค่เดินข้ามถนนราชดำเนินใน และถนนหน้าพระลานก็ไปถึงวัดพระแก้วแล้ว เมื่อพูดถึงวัดพระแก้ว สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยนั่น คือ “พระแก้วมรกต” ซึ่งถือเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของไทยมาเป็นเวลาช้านาน ด้านในมีสถาปัตยกรรมหลายยุคหลายสมัยของกรุงรัตนโกสินทร์ ไมว่าจะเป็น “หมู่พระมหามณเฑียร” ซึ่งประกอบด้วยพระที่นั่ง และหอติดกัน 7 องค์ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 ตามแบบของกรุงศรีอยุธยา หรือพระที่นั่งตามสไตล์ผสมผสานไทย+ยุโรป อย่าง “ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท“ ที่ผู้มาเยือนทุกคนต่างต้องยืนถ่ายรูปไปอวดเพื่อน ๆ ลงไอจีสตอรี่
- ตลาดท่าพระจันทร์
เมื่อชมวัดพระแก้วเสร็จแล้ว ก็เดินเลียบถนนหน้าพระลาน และเลี้ยวขวาตรงไปยังถนนมหาราชจะพบกับ “ตลาดท่าพระจันทร์” ที่ผู้ชื่นชอบพระเครื่องไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งแต่เดิมท่าพระจันทร์ ก็เป็นตลาดโบราณที่ค้าขายกับชาวบ้านจากกรุงธนบุรีเดิมอยู่แล้ว ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมถึงตั้งชื่อท่าน้ำนี้ว่า “พระจันทร์” ตามคนบอกเล่า กล่าวว่าคนในชุมชนแห่งนี้ในอดีตเห็นพระจันทร์สวยเป็นพิเศษ เลยเรียกชื่อย่านรวม ๆ ไปว่า “ท่าพระจันทร์”
โดยจุดเด่นของย่านนี้นอกจากเป็นตลาดพระเครื่องใหญ่ที่สุดในประเทศไทยแล้ว สถานที่รอบ ๆ ก็คงความเป็นเมืองเก่าอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นตัวตึก, ถนน หรือข้าง ๆ ตลาดท่าพระจันทร์อย่างมหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ และมหาวิทยาลัยศิลปากรวังท่าพระ ก็เป็นวังหน้าและวังเก่า ทำให้มีกลิ่นอายของอดีตอยู่
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
ถ้าเดินขึ้นจากตลาดท่าพระจันทร์เข้าไปทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เดินออกมาทางประตู ถนนหน้าพระธาตุ จะพบกับพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกของประเทศไทย ภายในพิพิธภัณฑ์ได้รวบรวมโบราณวัตถุอันล้ำค่า ไม่ว่าจะเป็นศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ 1, พระโบราณ นอกจากนี้ภายในยังมีพระที่นั่งล้ำค่าหาดูยาก เช่น พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ซึ่งประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ หรือ พระตำหนักแดง ที่รัชกาลที่ 1 ทรงสร้างขึ้นเพื่อพระราชทานให้แก่พระพี่นางเธอทั้ง 2 พระองค์
เดินทางขนส่งสาธารณะไปยังศาลหลักเมืองอย่างไร
รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สถานี “สนามไชย” จัดว่าอยู่ใกล้ที่สุดกับสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้ เพียงแค่ลงสถานีแล้วนั่งวินมอเตอร์ไซค์ ก็ไปถึงศาลฯ หรือเดินมาทางออก 2 รอรถเมล์ตรงป้ายสถานีวัดราชบพิตร จากนั้นนั่งรถเมล์สาย 60 ลงสนามหลวง เดินข้ามมาหน่อยก็ถึง ศาลหลักเมือง แล้ว
ก่อนจะเดินทางไปยังสถานีรถไฟฟ้าให้เตรียมไอเทม เช่นหมวกแก๊ป,หมวกปีกกว้าง, ครีมกันแดด และรองเท้าผ้าใบให้เรียบร้อย เพราะถึงแม้สถานที่เหล่านี้อยู่ใกล้กัน แต่ก็ต้องเดินและสัมผัสแสงแดดโดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อนจัด การเดินเท้าไปยังสถานที่เหล่านี้ จึงสะดวกที่สุดแล้ว เพราะในวันเสาร์-อาทิตย์ รถติดมาก หาที่จอดรถยากอีกด้วย
นอกจากนี้สถานที่ท่องเที่ยวในเกาะรัตนโกสินทร์ ยังมีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวัดโพธิ์ ปากคลองตลาด เสาชิงช้า ฯลฯ ซึ่งแต่ละที่ก็มีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป ที่สำคัญอาหารย่านนี้ถ้าได้ลิ้มลอง รับรองไม่ผิดหวัง เพราะมีหลากหลายสัญชาติ ไม่ว่าจะไทย จีน อินเดีย เมียนมาร์ ฯลฯ มาเที่ยวทั้งทีอย่าลืมหาร้านอาหารอร่อย ๆ ด้วยล่ะ
ที่มาข้อมูล: royalgrandpalace , bangkokcitypillarshrine , resource