หลายคนที่ลงทุนซื้อทีวีจอใหญ่มาก็เพื่อที่จะได้ดูหนัง ดูซีรีย์ได้เต็มจอ เต็มอรรถรส แต่กลับกลายเป็นว่า เสียงของลำโพงของทีวีนั้นให้เสียงที่ไม่กระหึ่ม ไม่นุ่มนวลอย่างที่ต้องการ การติดระบบโฮมเธียเตอร์ ก็อาจจะใช้งบประมาณที่มากและใช้พื้นที่ในการติดตั้งที่มาก ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้งานในห้องที่มีพื้นที่จำกัด แล้วจะแก้ปัญหาได้อย่างไร ในเมื่อซื้อทีวีมาแล้ว ปัญหาดังกล่าวแก้ได้ด้วย ซาวด์บาร์ เพราะเป็นลำโพงชนิดหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานร่วมกับทีวีโดยเฉพาะ โดยจะมีรูปทรงเป็นแท่งยาว ๆ สามารถติดตั้งได้ประหยัดพื้นที่ ไม่บดบังการดูทีวี แถมมีระบบเสียงแบบแบบรอบทิศทางอย่าง 5.1, 7.1 หรือแม้แต่ Dolby Atmos ที่ให้เสียงสมจริง ทำให้การดูหนังหรือเล่นเกมสนุกสะใจเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งวันนี้มีมาเปรียบเทียบ ว่ารุ่นใดเสียงดีโดนใจการใช้งาน
เปรียบเทียบ ซาวด์บาร์ รุ่นไหน โดดเด่นอย่างไร
1. Xiaomi TV Speaker Theater Edition
ประเดิมกันด้วยค่าย Xiaomi สำหรับรุ่น Theater Edition ที่มาพร้อมกับระบบเสียงโรงภาพยนตร์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ให้เสียงเบสหนักแน่น ย่านเสียงแหลมก็คมชัด เชื่อมต่อง่ายด้วยระบบ Bluetooth 5.0 ที่ให้ความเสถียรของสัญญาณไม่มีติดขัดขาดหาย และยังเชื่อมต่อด้วยพอร์ต AUX เพื่อใช้กับทีวีและอุปกรณ์อื่นๆได้
ฟังก์ชันเด่น
- กำลังขับของลำโพงสูงถึง 100 W ให้พลังเสียงทรงพลัง
- Subwoofer แยกอิสระ มีกำลังขับ 66 w สร้างเสียงเบสแน่น
- รองรับการเชื่อมต่อหลายรูปแบบ ทั้ง Bluetooth 5.0 , ไฟเบอร์ออฟติก , AUX ใช้งานได้กับหลายอุปกรณ์.
- ดีไซน์เรียบง่ายด้วยโทนสีดำ นำหนักเบาเพียง 2.3 กิโลกรัม ติดตั้งได้หลายรูปแบบ
2. Bose TV Speaker
ขนาดกะทัดรัด แต่ให้ฟังก์ชันแบบจัดเต็ม เสียงดังกระหึ่ม ตอบโจทย์การใช้งานร่วมกับทีวีได้อย่างลงตัว ระบบการเชื่อมต่อที่ให้มาครบทั้งไร้สายแบบ Bluetooth 4.2 , สาย AUX , HDMI ARC การออกแบบที่มีขนาดเล็ก จึงเหมาะที่จะติดตั้งไว้คู่กับทีวีเพราะใช้พื้นที่น้อย ภายในมีไดร์เวอร์เสียงถึง 3 ตัว ให้ย่านเสียงสูง เสียงกลาง เสียงเบสอย่างครบถ้วน กระจายเสียงได้ทั่วห้อง ไม่ว่าจะอยู่ที่มุมใดก็ฟังเสียงได้อย่างชัดเจน
ฟังก์ชันเด่น
- รูปทรงกระทัดรัดจัดวางง่าย
- เชื่อมต่อได้ทั้งไร้สายและมีสาย
- ฟังก์ชันเพิ่มคุณภาพเสียงสนทนาเพื่อการดูภาพยนตร์ที่ฟังได้ชัดเจน
- ให้ย่านเสียงครบในตัวเดียวไม่ต้องต่อ Subwoofer
3. JBL Cinema SB170
ลำโพงจาก JBL ผู้ผลิตเครื่องเสียงชั้นนำจากญี่ปุ่น ตัวนี้ให้กำลังขับที่ 220 w ที่รับรองความกระหึ่มในการใช้งานครบทุกย่านเสียง มีฟังก์ชันโฟกัสเสียงพูดสนทนาในภาพยนต์เพื่อไม่ให้เสียงดนตรีกลบ ระบบเสียง Stereo 2.1 พร้อม Subwoofer แบบไร้สาย เพิ่มเสียงเบสให้หนักแน่นมากขึ้น รองรับระบบเสียงระดับโรงภาพยนตร์ Dolby Digital ให้ทุกการใช้งานเต็มที่ เชื่อมต่อได้ทั้งแบบไร้สายด้วย Bluetooth 4.2 มีพอร์ตเชื่อมต่อสายแบบ HDMI ARC และ Optical
สำหรับตัวลำโพงนั้นมีน้ำหนักเพียง 1.65 กิโลกรัม ทำให้สามารถจัดวางได้หลากหลาย ทั้งวางไว้หน้าทีวี หรือจะติดตั้งบนผนังเหนือทีวีก็ให้มิติเสียงที่ดี Subwoofer แบบไร้สาย น้ำหนักเพียง 5 กิโลกรัม ใช้พื้นที่ในการวางน้อย
ฟังก์ชันเด่น
- รูปทรงดูพรีเมี่ยม ขนาดกระทัดรัด
- ตั้งได้ทั้งแบบวางและแบบแขวนกับผนัง
- Subwoofer แยกเชื่อมต่อแบบไร้สาย เพิ่มคุณภาพเสียง
- แรงขับสูงถึง 220 w ไม่พลาดทุกย่านเสียง
- โหมดเพิ่มคุณภาพเสียงสนทนาในขณะดูภาพยนตร์
- เสียง Dolby Digital ระดับโรงภาพยนตร์
4. Klipsch Bar-48
วัสดุทำจากไม้สุดหรู รูปทรงโมเดิร์นที่ใช้ตกแต่งห้องได้เป็นอย่างดี มาพร้อมระบบเสียงเซอร์ราวด์รอบทิศทาง เชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 4.2 รองรับการเชื่อมต่อแบบ HDMI ARC คุณภาพเสียงแบบโรงภาพยนต์ด้วยเทคโนโลยีลำโพง Tractrix Horn ถึง 3 ตัว ให้มิติเสียงที่กว้างขึ้น Subwoofer ขนาด 8 นิ้ว ให้เสียงทรงพลัง เชื่อมต่อแบบไร้สาย กำลังขับสูงถึง 440 w รับประกันความกระหึ่มถึงใจ นอกจากนี้ยังสามารถอัพเกรดไปเป็นระบบ 5.1 หรือ 5.2 ได้ด้วยการเพิ่ม Surround 3 ที่ด้านหลัง ได้อีก 2 ตัว ทำให้เทียบเท่าระบบโฮมเธียเตอร์ระดับสูงได้เลย ใครที่ต้องการ sound bar ที่ให้การใช้งานครบครัน รับรองไม่ผิดหวังกับ Klipsch Bar-48
ฟังก์ชันเด่น
- วัสดุทำจากไม้แท้คุณภาพสูง ให้ความพรีเมี่ยม
- Subwoofer ขนาดใหญ่ 8 นิ้ว
- ต่อ Subwoofer ได้ 2 ตัว กระหึ่มสะใจ
- อัพเกรดเป็นระบบ Surround 5.1 ได้
- เทคโนโลยีลำโพง Tractrix Horn เพิ่มการกระจายของเสียง
5. SAMSUNG HW-T420/XT
ตัวเล็กแต่สเปคใหญ่ รุ่นนี้มาพร้อมกับ ระบบเสียงแบบ 2.1 ให้กำลังขับ 150w Subwoofer ขนาด 6.5 นิ้ว ให้พลังเสียงที่เพียงพอต่อการใช้งานภายในห้อง เชื่อมต่อด้วยระบบ Bluetooth และ Digital Optical ออกแบบด้วยรูปทรงแท่งสีดำสนิท วางกับทีวีได้อย่างกลมกลืน น้ำหนักเบาเพียง 1.5 กิโลกรัม เคลื่อนย้ายง่าย โดดเด่นด้วยฟังก์ชันเสียงอัจฉริยะ โดยลำโพงจะปรับเสียงให้เข้ากับกับกิจกรรมที่ทำ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม เรียกได้ว่าตอบโจทย์ทุกการใช้งาน รองรับระบบเสียง Dolby Digital 2.0 นอกจากนี้ยังรองรับการเล่นเพลงผ่าน USB เพิ่มความสะดวกในการใช้งานครบถ้วน
ฟังก์ชันเด่น
- ขนาดกระทัดรัดจัดวางได้อย่างลงตัว
- รองรับการเล่นเพลงจาก USB Drive
- Subwoofer แยก เพิ่มคุณภาพเสียง
- ฟังก์ชันเสียงอัจฉริยะ ปรับตามกิจกรรมที่ทำ
- ระบบเสียง Game Mode ถูกใจสายเกมมิ่ง
เทคนิคการเลือก ซาวด์บาร์ สำหรับใช้งาน
ในการเลือก ซาวด์บาร์ นั้น มีปัจจัยในการเลือกเบื้องต้นดังนี้
1. ขนาดของลำโพง ควรเลือกที่มีขนาดเหมาะสมกับขนาดห้อง เพราะหากซื้อขนาดที่ไม่เหมาะสมไปใช้งาน เช่น ห้องมีขนาดเล็ก แต่ซื้อลำโพงขนาดใหญ่ก็จะกินพื้นที่ในการวางมาก แต่หากห้องมีขนาดใหญ่แล้วซื้อลำโพงเล็ก ก็จะทำให้เสียงที่ได้นั้นไม่ครอบคลุมทั่วทั้งห้อง
2. คุณภาพเสียง การเลือกลำโพงที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ จะทำให้ใช้งานได้อย่างครอบคลุม เช่น การกระจายเสียงรอบทิศทาง ระบบ Dolby Digital หรือเลือกที่เชื่อมต่อ Subwoofer ได้ก็จะทำให้ได้คุณภาพเสียงที่ดียิ่งขึ้น
3. ระบบการเชื่อมต่อ ในปัจจุบันนั้นระบบการเชื่อมต่อลำโพงแบบ sound bar นั้น จะรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายอยู่แล้ว แต่ในการเชื่อมต่อแบบสายนั้นก็มีหลายแบบ เช่น HDMI ARC หรือ AUX จึงควรเลือกให้ตรงความต้องการจะดีที่สุด
ความสุขในการดูหนังหรือฟังเพลงนั้น คุณภาพเสียงเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นการเลือกลำโพงที่สามารถตอบโจทย์การงานได้ครบถ้วน จะช่วยให้เรามีความสุขในวันพักผ่อนที่มากขึ้น หากเลือกได้แล้วว่าต้องการซาวด์บาร์แบบไหน สามารถไปช้อปใส่ตะกร้ากันได้เลยที่ลาซาด้า