อีโค่คาร์ ประโยคฮิตติดปากทุกคำโฆษณา ที่ใครหลายคนสมัยนี้ต้องเคยได้ยินกัน ราวกับว่าใช้รถยนต์รุ่นนี้แล้วจะช่วยประหยัดค่าน้ำมันในการเดินทาง แต่ที่น่าสนใจจริง ๆ สำหรับ eco car คือ ราคาต่ำกว่ารถยนต์ทั่วไปอยู่ที่ราว 3 – 6 แสนบาท แต่ก็ยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับรถยนต์ประเภทนี้อยู่บางประการที่คนทั่วไปไม่รู้ว่ารถยนต์แบบอีโค่นั้นมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร ดังนั้นเราจึงพามาทำความรู้จักกับรถชนิดนี้ให้มากขึ้น พร้อมแนะนำวิธีประหยัดน้ำมัน
ทำความรู้จัก อีโค่คาร์ คืออะไร แตกต่างจากรถยนต์ปกติอย่างไร
eco car ย่อมาจากคำว่า ecology car มีวัตถุประสงค์สำหรับอนุรักษ์พลังงาน ลดโลกร้อน ใครเป็นสายรักษ์โลกไม่ควรพลาดกับรถยนต์รุ่นนี้ แต่ด้วยการอนุรักษ์พลังงานนี้เองจึงทำให้ลดการใช้น้ำมันในการขับขี่มากกว่ากว่ารถเก๋งทั่วไป ลดอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานอยู่ในช่วง 20 -25 กิโลเมตรต่อ 1 ลิตร ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงสุดถึง 120 กรัม/กิโลเมตร และสาเหตุที่ราคาต่ำ เพราะการยกเว้นภาษีนำเข้า และภาษีสรรพสามิตจากนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์อีโค่ของ BOI
อย่างไรก็ตามรถประเภทนี้กลับไม่เป็นที่นิยมสำหรับสายซิ่ง หรือสายบรรทุกของ เนื่องจากช่วงล่างต่ำ ด้านในแคบ จึงไม่เหมาะกับคนที่เน้นเดินทางไกล หรือเดินทางในพื้นที่ออฟโรดเป็นประจำ ในขณะที่บางคนเข้าใจผิดนำรถชนิดนี้วิ่งทางไกลบ่อยครั้ง ก็ทำให้ช่วงล่างเสียหาย
อีกทั้งเป็นรถยนต์กลุ่ม B segment ที่ความแรงกลับอยู่ที่ราว 1200 ซีซีเท่านั้น ไม่ถึง 1500 ซีซีตามเกณฑ์แบ่ง B segment เพราะต้องการลดราคาได้มากที่สุด ทำให้เร่งหรือแซงไม่สะดวก แม้ราคาถูกก็ต้องแลกฟังก์ชันบางอย่างออกไป แต่ทว่ารถยนต์อีโค่นั้นกลับเป็นที่นิยมกับคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย ด้วยจุดเด่นราคาต่ำ ทำงานไม่กี่ปีก็สามารถซื้อได้ไม่ยาก
แนะนำ 5 รถยนต์ อีโค่คาร์ ที่น่าสนใจ
1.Suzuki รุ่น Swift
Suzuki จัดว่าเป็นผู้เล่นรายสำคัญสำหรับตลาดรถยนต์ A และ B segment ที่เน้นออกแบบรถยนต์ราคาประหยัด ช่วงล่างต่ำ ซึ่ง Suzuki รุ่น Swift หน้าจอรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto ช่วยให้ดูหนังฟังเพลง ดู Google Map ก็ยังได้
ตัวรถประหยัดน้ำมันได้มากถึง 23 กิโลเมตรต่อลิตร จุน้ำมันได้ถึง 37 ลิตร ราคาเปิดตัวมี 2 รุ่นคือ GL ราคา 557,000 บาท และ GLX ราคา 629,000 บาท ทั้งสองรุ่นมีขนาดเล็กกะทัดรัด ถูกใจคนไม่ชอบรถขนาดใหญ่แน่นอน
2.HONDA รุ่น Brio
ราคาตั้งแต่ 399,000 – 508,500 บาท เครื่องยนต์ชนิด 4 ลูกสูบ จึงสั่นสะเทือนน้อยกว่ารถยนต์อีโค่รุ่นอื่น อัตราประหยัดน้ำมันอยู่ที่ 20 กิโลเมตรต่อลิตร ความกว้างยาวสูงของถัง เท่ากับ 3610x1680x1485 มิลลิเมตร ล้ออัลลอยขนาด 14 นิ้ว และความจุน้ำมันอยู่ที่ 35 ลิตร
แต่เนื่องจากหลายคนมักไม่ชอบรูปทรง Honda Brio นัก แถมไม่มีออปชั่นเสริมเหมือนกับแบรนด์อื่น ๆ ผู้เลือกใช้งาน Honda Brio จึงควรเน้นด้านความประหยัดที่ราคาต่ำสุดอยู่ราว 399,000 บาท
3.Toyota Yaris Ativ
จัดว่าเป็นรถยนต์แบบ ECO ที่คนไทยนิยมมาก สำหรับ Toyota Yaris ที่ราคาอยู่ในช่วง 593,000 – 689,000 บาท ความกว้าง ยาว สูงของถังเท่ากับ 4442 x1730x1475 มิลลิเมตร รองรับการเชื่อมต่อ apple carplay และ android carplay เบาะหนังหุ้มด้วยผ้า พร้อมกล้องมองภาพขณะถอยจอด รวมทั้งตัวถังความจุ 40 ลิตร ประหยัดน้ำมันที่ 23.3 กิโลเมตรต่อลิตร
4.Misubishi Mirage
ราคาอยู่ในช่วง 474,000– 619,000 บาท เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินโฆษณารถยนต์ยี่ห้อนี้ผ่านทางโทรทัศน์มาบ้าง โดยอัตราประหยัดน้ำมันอยู่ที่ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตีวงแคบ เลี้ยวง่ายเพียง 4.6 เมตร ถือว่าต่ำกว่ารถยนต์ ECO รุ่นอื่นที่วงเลี้ยวมักตีวงที่ 5 – 6 เมตร และความจุถังน้ำมันอยู่ที่ 35 ลิตร
5.Nissan Almera E-sport TECH
เป็นรถยนต์ ECO อีกรุ่นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ด้วยเครื่องยนต์ 3 ลูกสูบ ประหยัดน้ำมันได้ถึง 23.3 กิโลเมตรต่อลิตร รองรับเทคโนโลยี Nissan Intelligent Mobility ด้วยระบบกล้องรอบทิศทาง ตัวถังน้ำมันมีความจุสูงถึง 41 ลิตร ทำให้วิ่งต่อเนื่องได้ไกลถึง 820 กิโลเมตร ราคาประมาณ 555,000 บาท ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
วิธีประหยัดน้ำมันให้มากขึ้น สำหรับรถยนต์ Eco Car
แม้ว่ารถยนต์แบบ ECO จะช่วยประหยัดพลังงานแล้ว แต่ยังมีวิธีประหยัดค่าน้ำมันเพิ่มเติมที่หลายคนมักไม่ทราบนั่นคือ หมั่นเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ซึ่งช่วยให้รถยนต์ใช้น้ำมันขับขี่ลดลงจากการลดการเสียดสี และน้ำมันเครื่องที่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ยังสามารถเพิ่มอัตราประหยัดน้ำมันได้ราว 1 -2 %
นอกจากนี้ตามแอปพลิเคชัน e- commerce มักมีร้านค้านำบัตรส่วนลดเติมน้ำมันมาขายในช่วงฤดูกาลต่าง ๆ ซึ่งรับบัตรมาฟรีจากสิทธิพิเศษสำหรับการซื้อของในปั๊มที่เข้าร่วมรายการด้วย จึงควรหมั่นติดตามร้านค้าประเภทนี้ด้วยว่าจะจัดโปรลดราคาเมื่อไหร่ เพราะแน่นอนว่าหลังจากวางจำหน่ายได้ไม่นานสินค้ามักหมดอย่างรวดเร็ว
เมื่อรู้ถึงลักษณะของรถยนต์ประเภท ECO เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ชนิดอื่นแล้ว ทุกการเดินทางก็ควรระมัดระวังในการขับขี่ หลีกเลี่ยงวิ่งในทางถนนขรุขระ พื้นที่ยกตัวสูง เพื่อเพิ่มอายุการใช้งานของรถยนต์ ก่อนออกเดินทางทุกครั้งควรหมั่นเช็คสภาพเครื่องยนต์ อุปกรณ์ประกอบ และยางรถยนต์ เพื่อให้การขับขี่ปลอดภัยมากขึ้น และควรหมั่นเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเป็นประจำ
ที่มาข้อมูล: thairath , mitsurma , chobrod , autolifethailand , sanook , autospinn , ridebuster
Comments 1