หน้าร้อนที่กำลังจะถึงนี้ บางบ้านอาจจะมีไอเดียเปลี่ยน แอร์ ใหม่ เพราะเครื่องเก่าก็ล้างไปหลายครั้ง เติมน้ำยาเครื่องปรับอากาศเป็นประจำ จนสภาพยื้อต่อไปไม่ไหว ตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องใหม่รับมือกับหน้าร้อนที่จะถึงนี้นี่แหละเป็นฤกษ์ยามงามดีที่สุด ซึ่งการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศสักเครื่องก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย เพราะสภาพเครื่องปรับอากาศตามท้องตลาดหน้าตาแทบเหมือนกันหมด ถ้าอ่านสเปกไม่ถูกไม่มีทางรู้ว่าเครื่องไหนเย็นกว่ากัน ดังนั้นเราจึงพาทุกคนมาดูวิธีเลือกเครื่องปรับอากาศให้ห้องเย็นฉ่ำจนลืมไปเลยว่าอยู่หน้าร้อนมากฝากกัน
หน้าร้อนเลือก แอร์ อย่างไรให้บ้านเย็นสบาย
- สังเกตประเภทของเครื่องปรับอากาศ ให้ตอบโจทย์ต่อการใช้งาน
หากแบ่งประเภทของเครื่องปรับอากาศตามลักษณะภายนอกมักพบอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ ชนิดแขวนบนผนังห้อง, ชนิดเคลื่อนที่ และเครื่องปรับอากาศแบบมุ้ง โดยแต่ละชนิดก็ให้ความเย็นแตกต่างกันออกไป ซึ่งประเภทแขวนบนผนังห้องเป็นชนิดที่ให้ความเย็นสูงที่สุด เพราะคอมเพรสเซอร์มีขนาดใหญ่ มักตั้งในห้องต่าง ๆ ภายในบ้าน ส่วนชนิดเคลื่อนที่และแบบติดตั้งพร้อมมุ้งมักปรากฏตามสถานที่เฉพาะ เช่น พื้นที่ Open Air หรือพื้นที่จำกัดอย่างห้องขนาดเล็กไปเลย โดยทั้ง 2 ประเภทหลังนี้คอมเพรสเซอร์มีขนาดเล็ก ความเย็นจึงน้อยตามไปด้วย
- ระบบทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศก็ไม่ควรมองข้าม
ระบบเครื่องปรับอากาศปัจจุบันมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ ระบบ Fixed Speed และระบบ Inverter ซึ่งระบบ Fix Speed พบเห็นได้บ่อยกับเครื่องปรับอากาศรุ่นเก่า โดยหลักการทำงานของระบบนี้ตัวเครื่องจะทำงานต่อเนื่องจนถึงอุณหภูมิที่ตั้งค่าเอาไว้ เมื่อถึงจุดอุณหภูมิที่กำหนดคอมเพรสเซอร์จะตัดการทำงานกะทันหัน ทำให้ระหว่างตัดการทำงานของเครื่องปรับอากาศจะมีการกระชากไฟและกินพลังงานมากกว่าปกติ ส่วนระบบ Inverter พบเห็นได้บ่อยกับเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ โดยตามที่กล่าวไปแล้วว่าระบบ Inverter จะทำงานเป็นช่วง ๆ และเมื่ออุณหภูมิเริ่มสูงคอมเพรสเซอร์จะกลับมาทำงานรักษาความเย็นอีกรอบ ซึ่งกระบวนการ Inverter จะไม่มีการตัดไฟเลยในระหว่างทำความเย็น จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ระบบ Inverter เป็นที่ชื่นชอบของผู้ต้องการประหยัดค่าไฟ เมื่อต้องการเปิดแอร์ทั้งวันเกินกว่า 8 ชั่วโมงขึ้นไป
- เลือกเครื่องปรับอากาศให้เข้ากับห้องของคุณ
เครื่องปรับอากาศจะมีตัวเลข BTU ระบุอยู่ โดย BTU แสดงถึงประสิทธิภาพในการไล่ความร้อนภายในห้อง ยิ่งตัวเลข BTU สูงมาก ย่อมบ่งบอกถึงความสามารถถ่ายเทความร้อนใน 1 ชั่วโมง มากตามไปด้วย ซึ่งค่า BTU เหมาะแก่การใช้งานในห้องที่แตกต่างกันออกไป เช่น 12,000 BTU ใช้งานได้ดีกับห้องที่มีขนาดไม่เกิน 20 ตารางเมตร หรือ ค่า BTU 24,000 เหมาะใช้งานกับห้องพื้นที่ขนาด 32 – 40 ตารางเมตร โดยหลักการคำนวณ BTU สามารถคิดคำนวณได้จากสูตร คือ BTU = (กว้าง x ยาว)x ตัวแปร และตัวแปรที่ว่าเป็นตัวเลขแทนค่าห้องนอนในสภาพต่าง ๆ ดังนี้
- 750 ใช้บ่งบอกถึงห้องนอนปกติ ไม่โดนแดด
- 800 ระบุค่าถึงห้องนอน โดนแดด
กรณีทั่วไปถ้าติดตั้งในบ้านจะใช้ค่าตัวเลข 2 ค่านี้สำหรับการคำนวณ ส่วนห้องทำงาน ร้านอาหาร มินิมาร์ท หรือสำนักงาน จะใช้ตัวแปรที่แตกต่างกันออกไป ไม่มีตัวเลขแทนค่าแน่นอน (ตั้งแต่ 900 – 1,100) เพื่อความง่ายต่อการเข้าใจจึงขอใช้ตัวเลข 750 และ 800 คำนวณค่า BTU
สมมติห้องนอนห้องหนึ่งมีขนาดกว้าง 6 เมตร ยาว 7 เมตร เมื่อคำนวณทั้ง 2 กรณี ได้แก่ ห้องนอนไม่โดนแดดและห้องนอนโดนแดด จะได้ค่า BTU ดังนี้
- กรณีไม่โดนแดด : (6×7)x750 = 31,500 BTU
- กรณีโดนแดด : (6×7)x850 = 33,600 BTU
ดังนั้นหากเลือกเครื่องปรับอากาศไม่สัมพันธ์กับพื้นที่ของห้องอาจทำให้ Air Conditioner ทำงานหนักจนค่าไฟแพงขึ้น ห้องที่โดนแสงแดดส่องบ่อย ๆ จึงควรเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีค่า BTU มาก เพื่อทำความเย็นได้ทั่วถึง
3 แอร์ สเปกสูง เตรียมพร้อมรับมือกับหน้าร้อน
- Daikin INVERTER
แอร์ระบบ Inverter ออกแบบมาเพื่อการประหยัดพลังงานโดยเฉพาะ เนื่องจากระบบ Inverter เมื่อเริ่มต้นการใช้งานเครื่องปรับอากาศ คอมเพรสเซอร์จะทำงานอย่างรวดเร็ว ให้อุณหภูมิเย็นภายในเวลาไม่นาน และหากอุณหภูมิถึงระดับความเย็นที่กำหนดคอมเพรสเซอร์จะลดระดับการทำงาน แต่เมื่ออุณหภูมิห้องเริ่มสูงกว่าระดับความเย็นที่ต้องการ ระบบ Inverter จะสั่งให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักอีกครั้ง จนกระทั่งอุณหภูมิอยู่ในระดับที่ตั้งค่าเอาไว้ ซึ่งเครื่องปรับอากาศที่ใช้งานระบบแบบนี้สามารถประหยัดพลังงานได้ถึง 30 – 40 % เพราะตัวเครื่องไม่ได้ทำงานหนักอยู่ตลอดเวลาแบบเครื่องปรับอากาศระบบปกติ ทั้งนี้ DAIKIN INVERTER มีขนาดทำความเย็นอยู่ที่ 12,300 BTU/h กำลังไฟ 1,160 W มาพร้อมกับระบบด้านในที่เป่าไล่ความชื้น เชื้อรา ช่วยลดปัญหากลิ่นเหม็นอับอย่างดีเยี่ยม อีกทั้งยังมีแผ่นกรองฝุ่น PM2.5 ช่วยลดปัญหามลพิษภายในห้องด้วย และหากใครกำลังมองหาเครื่องปรับอากาศให้ความเย็นสูง ประหยัดพลังงานได้ดี DAIKIN INVERTER เป็นตัวเลือกหนึ่งที่ไม่ควรพลาด
- CARRIER COPPER 7
เครื่องปรับอากาศขนาด 9,200-25,250 BTU มีระบบทำความสะอาดอัตโนมัติซึ่งทำงานทันทีหลังจากปิดแอร์ ช่วยล้างสิ่งสกปรกและไล่ความชื้น ทั้งยังมีแผ่นกรองฝุ่นชนิดพิเศษ ช่วยป้องกัน PM 2.5 เชื้อรา และแบคทีเรียต่าง ๆ มีระดับเสียงทำงานเงียบกว่าเดิม ทนทานทุกสภาพอากาศ และมีระบบปรับส่งลมแรงช่วยให้เย็นเร็วขึ้น
- TCL New Inverter
เครื่องปรับอากาศขนาด 11,445 BTU/h ใช้ระบบ Smart Inverter สามารถเร่งอุณหภูมิให้ต่ำถึง 18 องศา ภายใน 30 วินาที รวมทั้งคงสภาพความเย็นในห้องได้ แม้อุณหภูมิภายนอกสูงเกิน 60 องศา ที่สำคัญ TCL ได้ออกแบบระบบอัจฉริยะที่เรียกว่า “Filter Clean Reminder” ซึ่งเป็นระบบเตือนทำความสะอาดแผ่นกรองอัตโนมัติทันทีเมื่อฝุ่นเริ่มจับเกาะแผ่นกรองอยู่มากผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน
แนะนำวิธีช่วยให้ห้องเย็น นอนสบาย
- หมั่นล้างแอร์เป็นประจำ หากมีสิ่งสกปรกเกาะที่ฟิลเตอร์จำนวนมาก ย่อมทำให้ภาระในการทำงานหนักขึ้นและลมเครื่องปรับอากาศไม่ค่อยออก สังเกตได้จากหลังกดปุ่มสตาร์ทไม่ว่าจะลดอุณหภูมิลงเท่าไรก็ไม่ได้รู้สึกว่าอุณหภูมิภายในห้องเย็นขึ้นมากนัก และยิ่งเร่งการทำงานของเครื่องปรับอากาศมากเท่าไร ประสิทธิภาพในการทำงานยิ่งลดลงเท่านั้น จนสุดท้ายเครื่องปรับอากาศมีโอกาสเสื่อมสภาพในท้ายที่สุด ดังนั้นการหมั่นล้างแอร์ทำความสะอาดทุก 3 – 6 เดือน ด้วยน้ำแรงดันสูงจะช่วยลดฝุ่นละอองได้อย่างดีเยี่ยม
- เปิดพัดลมก็ช่วยได้ รู้หรือไม่ว่าการเปิด Air Conditioner ควบคู่กับการเปิดพัดลมจะช่วยกระจายความเย็นในห้องได้ดียิ่งขึ้น และช่วยระบายความร้อนให้อุณหภูมิในห้องโดยรวมลดลง 2 องศา ทำให้เมื่อเปรียบเทียบการเปิดเครื่องปรับอากาศอุณหภูมิต่ำ ๆ กับเปิดเครื่องปรับอากาศพร้อมกับพัดลม ซึ่งในกรณีเปิดเครื่องปรับอากาศ+พัดลม เพียงแค่ตั้งค่าอุณหภูมิ 27 องศา ความเย็นในห้องก็กระจายอย่างทั่วถึง
เห็นได้ว่าการเลือกเครื่องปรับอากาศสำหรับหน้าร้อนควรเลือกระบบ Inverter เพราะช่วยลดค่าไฟหน้าร้อนได้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญควรเลือก Air conditioner ที่เหมาะสำหรับห้องที่คุณอยู่ หากห้องมีขนาดใหญ่ ควรเลือกเครื่องปรับอากาศที่ BTU สูงขึ้นให้สัมพันธ์กับขนาดของห้องเพื่อกระจายความเย็นในห้องได้ดียิ่งขึ้น และข้อสำคัญอีกข้อที่ควรรู้คือหากไม่ต้องการให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักเกินไป พยายามอย่าติดตั้งในห้องที่แสงแดดส่องอยู่ทั้งวัน เพราะเมื่อมีความร้อนหมุนเวียนตลอดในห้อง เครื่องปรับอากาศจะต้องทำงานหนักอยู่ตลอดเวลาจนสุดท้ายมีแนวโน้มเสื่อมสภาพเร็วขึ้นนั่นเอง