สำหรับคนรักสุขภาพนอกจากการกินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้สงบ อยู่ในที่ที่อากาศดี และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอแล้ว การมองหาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อช่วยเติมส่วนที่ร่างกายอาจได้รับไม่เพียงพอก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน แม้ว่าสิ่งที่เรากำลังจะพูดถึงในวันนี้อาจไม่จัดอยู่ในกลุ่มแร่ธาตุจำเป็นของร่างกาย แต่การรับประทานก็มีประโยชน์มากมาย วันนี้เรามาทำความรู้จัก น้ำมันปลา ให้มากขึ้นกันครับ
น้ำมันปลา (Fish Oil) มีประโยชน์อย่างไร
น้ำมันประเภทนี้เกิดจากการสกัดมาจากส่วนต่าง ๆ ของปลา ซึ่งส่วนใหญ่จะพบมากในปลาทะเลน้ำลึกที่มาจากเขตอากาศหนาวเย็นเพราะเป็นปลาที่มีไขมันมากกว่าปลาในเขตร้อน การรับประทานน้ำมันประเภทนี้ สิ่งที่เราต้องการคือกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่เรียกว่า โอเมก้า-3 (Omega 3) ถือเป็นหนึ่งในกรดไขมันจำเป็นกับร่างกาย แต่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นมาเองไม่ได้ โดยกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า-3 ที่ร่างกายต้องการคือ DHA และ EPA หากพูดถึงกรดไขมันสองตัวนี้ที่หลายคนรู้จักดีคือ DHA เพราะมีส่วนช่วยพัฒนาการของสมองโดยเฉพาะในเด็ก และนี่คือประโยชน์อย่างน้อย 6 ข้อ ของการรับโอเมก้า-3 จากปลาทะเลน้ำลึกเป็นประจำ
- มีส่วนช่วยลดไขมันในเลือด โดยเฉพาะไขมันกลุ่มไตรกลีเซอไรด์ซึ่งจัดเป็นกลุ่มไขมันที่ไม่ดีกับร่างกาย โดยช่วยลดได้ 20 – 50% และสามารถใช้ร่วมกับยาลดไขมันได้ ไขมันตัวนี้คือตัวการที่ทำให้เกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด เมื่อไขมันไม่อุดตันหลอดเลือดจะส่งผลทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดี ระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายเป็นไปได้ตามปกติ ทำให้ร่างกายทำงานได้ดีโดยเฉพาะหัวใจและสมอง ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
- ผลดีที่เกิดกับสมอง คือ มีผลดีกับความจำ โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับวิตามินบี 6 และบี 12
- มีส่วนช่วยลดความดันโลหิต โดยไม่มีผลกับความดันในระดับปกติจึงช่วยผู้ที่มีปัญหาความดันโลหิตสูงได้ในระดับหนึ่ง
- ช่วยลดอาการปวดข้อ เห็นผลในผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมหรือรูมาตอยด์
- ช่วยปรับสมดุลกรดไขมันในร่างกาย เมื่อร่างกายมีสภาวะกรดไขมันสมดุลจะช่วยลดความเสี่ยงหลายโรคได้ เช่น ภาวะซึมเศร้า
- มีงานวิจัยพบว่าช่วยลดความเสี่ยงได้อีกหลายโรค เช่น ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน บรรเทาอาการหอบหืด ลดอาการไมเกรน รวมถึงช่วยลดอาการคันจากโรคผิวหนังบางชนิด
กรดไขมันโอเมก้า-3 พบได้จากไหนบ้าง
กรดไขมันกลุ่มนี้ทั้ง DHA และ EPA พบมากในผลิตภัณฑ์อาหารทะเล ไม่ว่าจะเป็นปลาแซลมอน ทูน่า หอยนางรม ฯลฯ นอกจากนี้ยังพบในน้ำมันจากพืช ถั่วชนิดต่าง ๆ และผักใบเขียว อย่างไรก็ตามปริมาณ Omega 3 ที่พบในอาหารแต่ละชนิดมีไม่เท่ากัน การได้รับกรดไขมันชนิดนี้ในปริมาณตามที่ร่างกายต้องการเป็นประจำทุกวันจึงเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่สกัดมาให้คุณได้รับกรดไขมันชนิดนี้จึงเป็นทางเลือกที่ดี โดยมีให้เลือกทั้งน้ำมันสกัดจากปลาทะเลและน้ำมันตับปลา ความต่างของน้ำมันทั้งสองประเภทคือน้ำมันตับปลาจะมีวิตามิน A และ D เป็นส่วนประกอบด้วย จึงมักพบมากในอาหารเสริมเพื่อพัฒนาการสมองของวัยเด็ก
น้ำมันปลา เหมาะกับใคร และควรบริโภคอย่างไร
แม้ว่าจะไม่มีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่าควรรับประทานน้ำมันสกัดจากปลาทะเลเพื่อให้ได้โอเมก้า-3 ในปริมาณเท่าไร แต่องค์การอนามัยโลกได้แนะนำว่า การรับประทานปลาทะเลเพื่อให้ได้ DHA และ EPA 200 – 500 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยดูแลสุขภาพหัวใจได้ และไม่ควรรับโอเมก้า-3 เข้าสู่ร่างกายเกิน 3 กรัม หรือ 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน โดยปริมาณที่พอเหมาะ คือ 1.1 กรัมต่อวัน ในผู้หญิง และ 1.6 กรัมต่อวัน ในผู้ชาย ปริมาณดังกล่าวพอเหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 14 ปีขึ้นไป
ผลิตภัณฑ์ Fish Oil เหมาะกับทุกคนที่ต้องการดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เหมาะเป็นพิเศษกับผู้ที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจ ซึ่งด้วยพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นการไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ทำงานนั่งโต๊ะเป็นหลัก รับประทานอาหารไขมันสูง ฯลฯ ทำให้ความเสี่ยงโรคหัวใจเกิดขึ้นได้กับแทบทุกคน นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ Fish Oil ยังเหมาะกับผู้สูงอายุด้วย เพราะส่วนใหญ่ผู้สูงอายุมักจะต้องเจอกับปัญหาความดันโลหิตสูง
ทุกผลิตภัณฑ์มีข้อควรระวังใน Fish Oil ก็เช่นกัน โดยต้องระวังในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด มีอาการเลือดหยุดไหลยาก หรือกำลังจะต้องเข้ารับการผ่าตัด นอกจากนี้หากรับประทานยาบางชนิด เช่น แอสไพริน ควรหยุดรับประทาน Fish Oil สักระยะ เพราะยาชนิดนี้มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด และสำหรับผู้ที่แพ้อาหารทะเลควรตรวจสอบว่า Fish Oil ที่เลือกนั้นสกัดจากปลาชนิดใดและคุณแพ้ปลาชนิดนั้นหรือไม่ หากแพ้แต่ยังต้องการกรดไขมันโอเมก้า-3 อาจต้องมองหาผลิตภัณฑ์สำหรับวีแกน ซึ่งก็มีให้เลือกบ้างเหมือนกัน
เลือกผลิตภัณฑ์ น้ำมันปลา อย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด
การเลือกผลิตภัณฑ์Fish Oilให้ได้ประโยชน์สูงสุดและไม่เกิดโทษกับร่างกาย สิ่งสำคัญที่สุดคือเลือกตามปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน โดยผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่จะมีปริมาณ 1,000 มิลลิกรัม แต่หากเป็นการเลือก Fish Oil สำหรับเด็ก ควรเลือกที่ปริมาณ 500 มิลลิกรัม นอกจากนี้ควรเลือกจากแบรนด์ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาด้วย
ครบถ้วนแล้วกับประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ Fish Oil และทุกคนคงรู้สึกตรงกันว่านี่คือของดีซึ่งมีประโยชน์รอบด้าน เหมาะกับทุกคนในทุกช่วงวัย มีความปลอดภัยในการรับประทาน แม้ว่าจะมีข้อควรระวังบ้าง แต่ก็ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ตัวอื่น โดยรวมแล้วถือว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะอย่างยิ่งกับการดูแลสุขภาพ สำหรับผู้ที่ต้องการหามารับประทานบ้าง สามารถเข้าไปเลือกช้อปได้ที่ Lazada
ที่มาข้อมูล: wongkarnpat , pharmacy.mahidol , megawecare , sanook , pobpad , my-best