คนที่ใช้รถใช้ถนนต้อง เติมน้ำมัน กันเป็นกิจวัตร อย่างน้อยเดือนละ 2 หน ซึ่งถึงแม้จะคลุกคลีอยู่กับน้ำมันมานานแต่ก็อาจจะยังไม่รู้จักว่าน้ำมันมีทั้งหมดกี่ประเภท? ต้องเติมอย่างไรถึงจะคุ้มค่า? บทความนี้จะให้ความรู้เกี่ยวกับน้ำมันกันครับว่าน้ำมันเบนซินแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร
น้ำมันเชื้อเพลิงนั้นคือของเหลวที่ได้มาจากการกลั่นน้ำมันดิบ ซึ่งใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเผาไหม้เพื่อใช้เป็นพลังงานในการขับเคลื่อนรถยนต์ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ น้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้กับเครื่องยนต์เบนซิน กับ น้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้กับเครื่องยนต์ดีเซล
น้ำมันเบนซินแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร
โดยน้ำมันประเภทเบนซินนั้นในปัจจุบันมีหลายประเภท ซึ่งมีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันเล็กน้อย ทำให้ผู้ใช้ต้องเลือกใช้น้ำมันเบนซินให้ถูกประเภทสำหรับรถของเรา เพื่อให้ถูกต้องตามสเปคที่ผู้ผลิตระบุไว้ แต่จะเติมน้ำมันอย่างไรให้ใช้งานได้อย่างถูกต้องตามการใช้งานและเกิดความคุ้มค่า
น้ำมันเบนซินมีกี่ประเภท รู้ได้อย่างไรว่ารถเรา เติมน้ำมัน แบบไหนได้บ้าง
น้ำมันเบนซินเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่กลั่นมาจากน้ำมันดิบ และนำมาปรับปรุงคุณภาพที่เราเรียกว่าค่าออกเทน ซึ่งค่าออกเทนนั้นขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งานเครื่องยนต์ลักษณะใด เช่น เครื่องบิน , รถยนต์ ก็จะใช้ค่าออกเทนที่แตกต่างกัน โดยค่าออกเทนของน้ำมันเบนซินสูงสุดที่มีในประเทศไทยคือ ออกเทน 95 และประเทศไทยยังมีการนำน้ำมันเบนซินมาผสมกับแอลกอฮอล์ที่สกัดมาจากพืชที่เรียกว่า เอทานอล (เอทิลแอลกอฮอล์) จนกลายมาเป็นนำมันแก๊สโซฮอล์ (Gasohol) ซึ่งเราสามารถแบ่งประเภทของน้ำมันเบนซินได้ดังนี้
1. น้ำมันเบนซิน (GASOLINE)
เป็นน้ำมันที่ได้มาจากการกลั่นน้ำมันดิบ เป็นน้ำมันที่มีค่าเบาที่สุดในกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบ จึงมีความสะอาดและมีมีคุณภาพมากที่สุดในบรรดาน้ำมันทุกชนิด หลังจากที่ผ่านขั้นตอนของการกลั่นก็จะนำมาปรับส่วนผสม เช่น เพิ่มค่าออกเทน เพื่อทำให้น้ำมันมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถนำมาใช้กับรถยนต์ประเภทเครื่องยนต์เบนซิน ซึ่งค่าออกเทนของน้ำมันประเภทนี้ที่มีในประเทศไทย จะมีออกเทน 91 และออกเทน 95 แต่ในปัจจุบันน้ำมันเบนซินออกเทน 91 นั้นถูกยกเลิกการจำหน่ายไปแล้ว คงเหลือเพียงเบนซิน 95 เท่านั้น ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดและมีราคาที่แพงที่สุดในท้องตลาด ใช้ได้กับเครื่องยนต์เบนซินทุกชนิดทั้งเครื่องยนต์เก่าและเครื่องยนต์ใหม่
2. น้ำมันเบนซินประเภทแก๊สโซฮอล์ (GASOHOL)
เป็นน้ำมันมีถูกพัฒนาให้มีส่วนผสมระหว่างน้ำมันเบนซิน (GASOLINE) ผสมกับเอทานอลหรือเอทิลแอลกอฮอล์ ที่สกัดมาจากพืชในอัตราส่วนต่างๆ จนเกิดเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ประเภทต่างๆ เช่น แก๊สโซฮอล์ 95 (E10) ที่ผสมระหว่างเบนซิน 95 กับ เอทานอล , แก๊สโซฮอล์ 91 (E10) ที่ผสมระหว่างเบนซิน 91 กับ เอทานอล ซึ่งทั้ง 2 ชนิดจะมีอัตราส่วนของเอทานอลอยู่ที่ 10 % และอีกชนิดคือแก๊สโซฮอล์ E85 ที่มีส่วนผสมของเอทานอลในอัตราส่วนที่มากที่สุด คือ 85 % นำมันชนิดนี้ได้รับการสนับสนุนด้านราคาจากภาครัฐ ทำให้มีราคาต่อลิตรถูกกว่าน้ำมันเบนซินประเภทอื่นมาก แต่ก็มีอัตราการสิ้นเปลืองในการใช้งานมากเช่นกัน เพราะน้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอลในสัดส่วนที่มากจะมีการเผาผลาญเชื้อเพลิงในขณะใช้งานมาก และให้อัตราเร่งที่ไม่ดีเท่าน้ำมันเบนซินประเภทอื่น แต่ด้วยราคาที่ถูก ทำให้เมื่อคิดคำนวณค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันแล้วจะเกิดความคุ้มค่า เหมาะกับเครื่องยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่ถูกพัฒนาให้รองรับการใช้งาน
โดยเอทานอลที่นำมาผสมกับน้ำมันเบนซินจนได้น้ำมันแก๊สโซฮอล์นั้น นั้นเป็นพลังงานสะอาดที่ได้มาจากการสกัดแอลกอฮอล์บริสุทธิ์จากพืชผลทางเกษตร มีคุณสมบัติในการเผาไหม้ที่หมดจด ไม่ทิ้งคราบเขม่าไว้ที่หัวฉีดของเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องยนต์สะอาด ลดไอเสียที่ปล่อยออกไปในสิ่งแวดล้อม เป็นพลังงานทดแทนที่ช่วยลดการนำเข้าสารเพิ่มออกเทนจากต่างประเทศ
ในการเลือกน้ำมันเบนซินแต่ละประเภทเพื่อใช้งานนั้น ควรต้องทราบว่ารถของเรารองรับการใช้น้ำมันออกเทนไหน ซึ่งดูได้จากคู่มือรถและสังเกตได้จากสติ๊กเกอร์ตรงฝาปิดถังน้ำมัน โดยเฉพาะหากรถของเราไม่ได้ระบุให้เติมน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ E85 ก็ต้องหลีกเลี่ยง เพราะจะทำให้เครื่องยนต์มีปัญหาและท่อส่งน้ำมันภายในเครื่องยนต์ชำรุดได้
เติมน้ำมัน อย่างไรให้เกิดความคุ้มค่า
การจำหน่ายน้ำมันของประเทศไทยนั้น นอกจากจะต้องอ้างอิงราคาตลาดโลกแล้ว น้ำมันแต่ละประเภทก็ยังต้องเสียภาษีอีกหลายชนิด ทำให้น้ำมันมีราคาแพง เราจึงต้อง เติมน้ำมัน ให้เกิดความคุ้มค่า ซึ่งมีเทคนิคเล็กๆน้อยๆมาฝาก
- เติมน้ำมันให้เต็มพอดี
การเติมน้ำมันนั้น หากเราชอบการเติมแบบเต็มถัง ก็ควรกำชับพนักงานว่าให้เติมเต็มถังเพียงแค่หัวจ่ายน้ำมันตัดการทำงาน ไม่ควรอัดน้ำมันเข้าไปเพิ่มเติม เพราะอาจจะทำให้แรงดันภายในถังมีมากและดันน้ำมันออกมาตรงท่อระบายน้ำมันส่วนเกิน นอกจากจะสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุแล้ว ยังส่งผลเสียต่อปั๊มติ๊กภายในอีกด้วย
- ไม่ปล่อยให้น้ำมันเหลือน้อยเกินไปหรือหมดบ่อย ๆ
การปล่อยให้น้ำมันเหลือน้อยจนไฟเตือนกระพริบ หรือปล่อยให้น้ำมันหมดบ่อยๆ จะส่งผลเสียต่อปั๊มเชื้อเพลิงภายในถัง (ปั๊มติ๊ก) การที่มีน้ำมันน้อยเกินไปจะทำให้เวลาขับรถจะเกิดแรงสั่นสะเทือนจนอาจทำให้ลูกลอยหลุด ปั๊มติ๊กเกิดความร้อนจนเสียหายได้ เนื่องจากน้ำมันที่มีน้อยทำให้ปั้มติ๊กทำงานหนักมากขึ้น
- หลีกเลี่ยงการเติมน้ำมันขณะรถบรรทุกน้ำมันถ่ายน้ำมันลงถังใต้ดิน
ในขณะที่รถขนส่งน้ำมันกำลังถ่ายน้ำมันลงถังเก็บใต้ดิน จะทำให้ตะกอนที่ก้นถังลอยตัวขึ้นมา ทำให้อาจเสี่ยงต่อการ เติมน้ำมัน ที่มีตะกอนได้
การเลือกประเภทของน้ำมันที่จะเติมนั้น ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเจ้าของรถเป็นหลัก บางคนอาจให้ความสำคัญในอัตราเร่งและสมรรถนะ ก็เลือกน้ำมันที่มีค่าออกเทนสูง มีส่วนผสมของเอทานอลที่น้อย บางคนอาจชอบความประหยัด เน้นขับในเมือง ก็เลือกน้ำมันรถที่มีราคาถูก ก็จะตอบโจทย์การใช้งานของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี
ที่มาข้อมูล: scimath , yukonlubricants , yukonlubricants , wikipedia , promotions
Comments 1