ตอนนี้กระแสดูหนังที่บ้านกำลังมาแรง ด้วยแพลตฟอร์มดูหนังออนไลน์ได้ง่าย ๆ ผ่านสตรีมมิ่งต่าง ๆ ทำให้หลายคนเกิดไอเดียอยากเปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นโรงหนังส่วนตัวขนาดย่อมไปเลย จะได้ไม่เสียเวลาขับรถไปดูโรงภาพยนตร์ที่รถติด วนรถยนต์หาที่จอดหลายรอบให้เสียอารมณ์ ซึ่งการเปลี่ยนบ้านเป็นโรงหนังขนาดย่อมก็ต้องเลือกใช้อุปกรณ์อย่างเครื่องฉายภาพที่มีประสิทธิภาพมากพอ ให้ภาพที่ออกมาไม่สะดุดติดขัด ดังนั้นเราจึงนำวิธีการปรับเปลี่ยนห้องด้วย โปรเจคเตอร์ แบบไม่ยาก
อยากปรับห้องให้เป็น โรงหนังส่วนตัว ทำอย่างไร
การปรับห้องให้เป็นโรงหนังส่วนบุคคล จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับหน้าจอรับภาพ ซึ่งมีวิธีการรับชมภาพอยู่ 2 แบบ คือ 1. รับชมผ่านผนังกำแพงหรือเพดานห้อง 2.ใช้จอสกรีนรับภาพจากเครื่องฉาย Projector ดังนี้
- รับชมผ่านผนังกำแพง
ก่อนจะเริ่มเปลี่ยนห้องเป็นโรงหนัง ต้องสำรวจเสียก่อนว่าจะเลือกห้องดูหนังที่ห้องไหน ซึ่งตัวเลือกก็จะมีห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือห้องเก็บของขนาดเล็ก ซึ่งห้องที่เหมาะสำหรับเปลี่ยนเป็นโรงหนัง เราแนะนำให้เลือกห้องที่แสงอาทิตย์ผ่านได้น้อย และพื้นที่จำกัด มิเช่นนั้นแล้วแสงที่ปล่อยออกมาจาก Projector จะกระจายไปหมด เห็นภาพไม่ชัดเจน ถ้าเลือกห้องที่ต้องการได้แล้ว อันดับต่อไปคือเลือกผนังที่ใช้สำหรับเป็นจอรับภาพ โดยพื้นผนังที่ควรเลือกใช้งาน ต้องเป็นพื้นเรียบ ไม่มีรอยขรุขระบริเวณผนัง เวลาเปิดแสงฉายเข้าไป ก็รับชมได้แบบไม่ขัดตาจากผิวขรุขระ
ข้อแนะนำก็คืออาจทาสีผนังห้องให้เป็นสีดำ หรือสีโทนทึบก็ได้เช่นกัน เนื่องจากสีโทนเข้มจะช่วยดูดซับสีได้มาก ช่วยให้เห็นภาพชัดเจน ไม่เหมือนสีโทนสว่างที่จะกระจายเฉดแสงออก แถมเมื่อปิดไฟห้องนอนแล้วรับชมหนัง ย่อมได้ภาพชัดเจนกว่าผนังห้องสีขาว และข้อสำคัญมากคือ ต้องเคลียร์สิ่งกีดขวางออกจากบริเวณ Projector ให้หมด ถ้ามีตุ๊กตาเล็ก ๆ ตั้งขวางอยู่ ลำแสงจะแสดงภาพได้ไม่ชัด เพราะมีการหักเหของแสงโดยวัตถุที่กั้นอยู่
- รับชมผ่านจอสกรีน
วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากจัดห้องใหม่ให้ยุ่งยาก เพียงแค่ซื้อหน้าจอสกรีนขนาดใหญ่ แล้ววางอุปกรณ์ฉายภาพตรงข้ามหน้าจอ หน้าจอสกรีนตอบโจทย์กับที่อยู่อาศัยขนาดเล็ก เช่น คอนโดมิเนียม อันมีพื้นที่จำกัด และมีของมากมายวางเต็มไปหมด การใช้หน้าจอสกรีนจึงสะดวกมากกว่าการปรับปรุงผนังห้องเพื่อการฉายหนัง
แนะนำ โปรเจคเตอร์ เปลี่ยนให้บ้านเป็นโรงหนังส่วนตัว
เมื่อทราบถึงวิธีการจัดห้องเพื่อเปลี่ยนห้องเป็นโรงหนังส่วนตัวแล้ว ก็ถึงเวลาของการเลือกซื้อเครื่องฉายภาพ หรือ Projector ซึ่งมีแบรนด์น่าสนใจ คุณภาพดี ดังนี้
- Y9 Projector Full HD Android WIFI 1080P
โปรเจคเตอร์ความจุระดับ 2 GB+ 16 GB ความสว่างสูงสุดอยู่ที่ 4500 Lumens เป็นเครื่องฉายภาพระบบปฏิบัติการ Android 6.0 และยังรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้อีกด้วย ทำให้สามารถรับชมหนังจากแพลตฟอร์มชื่อดังได้แบบง่าย ๆ
อีกทั้งยังเปิดไฟล์รูปภาพ/ไฟล์วิดีโอ เพื่อรับชมพร้อมกันกับสมาชิกครอบครัวได้อย่างพร้อมเพรียง และภาพที่ได้มีขนาดใหญ่ถึง 50 – 180 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD แถมหลอดไฟ LED นำเข้าจากเยอรมนีของเครื่องฉายภาพ ยังใช้งานได้ถึง 30,000 ชั่วโมง เรียกได้ว่าคุ้มค่าสุด ๆ กับเครื่องฉายภาพรุ่นนี้
- Mirval A9
เครื่องฉายโปรเจคเตอร์ มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 9 รองรับการเชื่อมต่อหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น WiFi 5 G/Bluetooth/ พอร์ต USB และ HDMI ความพิเศษคืออัตราส่วน Throw Ratio อยู่ที่ 1.37 : 1 ซึ่งให้ขนาดหน้าจอที่ฉายสูงสุดถึง 200 นิ้ว
ความสว่างอยู่ในระดับ 3500 Lumens เหมาะอย่างยิ่งสำหรับใครที่อยากรับชมจอภาพขนาดใหญ่ ได้ภาพความสว่างคมชัด และนำไปใช้งานคู่กับสมาร์ทโฟนเล่นเกม เพื่อเพิ่มประสบการณ์รับชมภาพขนาดยักษ์
- AUN DLP X2 projector
โปรเจคเตอร์ที่เน้นออกแบบดีไซน์ให้เครื่องฉายภาพพกพาได้สะดวก น้ำหนักเพียง 0.5 กิโลกรัมเท่านั้น ทำให้สามารถใช้งานได้ทั้งในบ้าน หรือนอกบ้านสำหรับ outing กับเพื่อนฝูงก็ได้เช่นกัน แถมขนาดแบตเตอรี่ความจุก็ใช้งานได้ต่อเนื่องถึง 3 ชั่วโมง มีความจุอยู่ในระดับ RAM 2 GB +ROM 16 GB ทำให้รับชมคอนเทนต์ได้หลากหลายไร้ขีดจำกัด
ด้านการฉายภาพ มีคุณสมบัติฉายภาพได้ในระดับความกว้าง 100 นิ้ว ใช้งานได้ยาวนานระดับ 50000 ชั่วโมง และยังรองรับพอร์ตเชื่อมต่ออย่าง HDMI USB อีกด้วย ใครเป็นสายดูหนังนอกบ้านไม่ควรพลาดกับรุ่นนี้
วิธีเลือก โปรเจคเตอร์ ควรเลือกอย่างไร?
- Throw Ratio เป็นค่าอัตราส่วนที่เครื่องฉายภาพจะแสดงบนหน้าจอ ยิ่งค่าต่ำมาก ระยะฉายจะมากขึ้นตาม ยกตัวอย่างเช่น Throw Ratio 3:1 หมายความว่าระยะฉาย 3 เมตรจะได้ภาพความกว้าง 1 เมตร ในขณะที่ Throw ratio ของเครื่องฉายภาพอีกเครื่องอยู่ที่ 1.1 : 1 นั่นคือ วางห่างจากหน้าจอที่ต้องการฉายเพียง 1.1 เมตร (ระยะฉาย) ก็ได้ภาพกว้างเท่ากับ 1 เมตรแล้ว ดังนั้นอัตราส่วน 1.1: 1 จึงแสดงภาพได้กว้างกว่า 3:1 และนั่นหมายความว่าถ้าวางตัวเครื่องฉายที่ Throw Ratio 1.1 : 1 วางในระยะ 3.3 เมตร ย่อมได้ภาพกว้างถึง 3 เมตรเลยทีเดียว
- Contrast Ratio คืออัตราส่วนการตัดกันของสีขาวและสีดำ ยิ่งค่ามากย่อมบ่งบอกถึงค่าเฉดสีดำมาก ย่อมได้เฉดสีที่เนียนขึ้น เช่น Contrast Ratio 5000 : 1 กับ 1000 : 1 ซึ่งค่า Contrast ในระดับ 5000 : 1 ย่อมได้ภาพสีเข้มกว่า เวลาฉายแสงใส่หน้าจอที่เป็นสีขาวจะเห็นความเข้ม และความคมชัดสูงมาก ราวกับได้ดูหนังในโรงภาพยนตร์
การเลือกสเปกของเครื่อง โปรเจคเตอร์ มีความสำคัญมากทีเดียว เพราะถ้าคุณเตรียมหน้าจอรับแสงไว้กว้าง เช่น ผนังห้อง แล้วค่า Throw Ratio ระบุให้คุณวางห่างเกือบ 2 เมตรถึงจะได้ภาพความกว้าง 1 เมตร ซึ่งมีขนาดเล็กนิดเดียว แถมถ้าเลือกเครื่องฉายภาพที่ค่า Contrast ต่ำมากจนดูหนังในเวลากลางวันได้ไม่คมชัด ย่อมเสียอารมณ์ในการรับชมไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นจึงควรเลือกเครื่องที่มีคุณภาพดี ด้วยการพิจารณาจากสเปกเบื้องต้นทั้ง 2 ค่า เพื่อให้โรงหนังส่วนตัวของคุณเต็มไปด้วยอรรถรส และรับชมร่วมกับสมาชิกในครอบครัวอย่างมีความสุข
ที่มาข้อมูล: pratima-ishop