สำหรับคนที่มีรถยนต์เป็นของตนเอง โดยปกติก็ต้องหมั่นดูแลรักษาทั้งการเปลี่ยนอะไหล่ตามระยะสึกหรอ เปลี่ยนยางเมื่อครบกำหนด รวมถึง แบตเตอรี่รถยนต์ ด้วยเช่นกันที่ต้องมีการดูแลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้รถยนต์สามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์
แบตเตอรี่รถยนต์ มีกี่ประเภท เลือกแบบไหนให้เหมาะสมกับการใช้งาน
แบตเตอรี่รถยนต์ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้รถต้องให้ความใส่ใจที่จะต้องเปลี่ยนใหม่ตามอายุการใช้งาน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องลำบากหากปล่อยให้แบตเตอรี่รถหมดจนสตาร์ทไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นคงต้องลำบากในการหาคนมาช่วยจัมพ์แบตชั่วคราว หรือหาแบตเตอรี่ลูกใหม่มาใส่ แล้วแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์มีกี่ประเภท เราควรเลือกใช้งานแบบไหนจึงจะเหมาะสม บทความนี้มีคำตอบ ซึ่งก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันก่อนว่าแบตเตอรี่นั้นมีประเภทอะไรบ้าง
1. แบตเตอรี่ประเภทธรรมดา (CONVENTIONAL)
หรือที่เราเรียกกันโดยทั่วไปว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ เป็นประเภทที่มีงานใช้งานกันมานาน ภายในแบตเตอรี่นั้นจะมีแผ่นธาตุที่มีส่วนผสมของแร่โลหะระหว่างตะกั่วและพลวง ในการใช้งานนั้นต้องคอยหมั่นตรวจเช็กระดับน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่กำหนดอยู่เสมอ ซึ่งระดับน้ำกลั่นที่ลดลงนั้นจะช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับการใช้งาน โดยการละเลยไม่ตรวจสอบดูแลแบตเตอรี่ประเภทนี้นั้น หากน้ำกลั่นแห้งก็จะส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมคุณภาพเร็ว มีอายุการใช้งานที่สั้นลง จึงเหมาะสำหรับผู้ใช้รถที่มีความรู้ในการดูแลรักษารถยนต์ แบตเตอรี่ชนิดนี้มีราคาถูกกว่าแบตเตอรี่ประเภทอื่นและใช้งานได้ยาวนานกว่า
2. แบตเตอรี่ประเภทไฮบริด (HYBRID)
เป็นแบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง แบบที่เรียกกันโดยทั่วไป ภายในเป็นโลหะผสมระหว่างตะกั่วกับแคลเซียม ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้น้ำกลั่นที่อยู่ภายในแห้งช้ากว่า เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลระดับน้ำกลั่น เพราะไม่ต้องดูแลรักษาเติมน้ำกลั่นบ่อย ๆ ยิ่งถ้าหากไม่ได้ใช้งานรถบ่อย น้ำกลั่นภายในก็อาจจะไม่แห้งเลยจนถึงอายุการเปลี่ยนแบตเตอรี่ ทำให้การตรวจเช็กแต่ละครั้งสามารถทำไปพร้อมกับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องให้กับรถไปในครั้งเดียวกัน
3. แบตเตอรี่ประเภทไม่ต้องดูแล (MAINTENANCE FREE)
คือแบตเตอรี่ที่เราเรียกกันว่าแบตแห้ง มีลักษณะการใช้งานที่ไม่ต้องดูแลเติมระดับน้ำกลั่นตลอดอายุการใช้งาน จะสังเกตได้ว่าแบตเตอรี่ประเภทนี้จะถูกผนึกช่องสำหรับเติมน้ำกลั่นเอาไว้ จริง ๆ แล้วแบตเตอรี่ประเภทนี้ภายในก็ยังต้องมีน้ำกลั่นอยู่ด้วยเช่นกัน เพียงแต่เราไม่ต้องเติมตลอดอายุการใช้งาน ทั้งนี้แบตเตอรี่ประเภทนี้ก็มีราคาแพงกว่าชนิดอื่นอยู่พอสมควร แต่ก็นับว่าเป็นข้อดีสำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้ในเรื่องการดูแลรักษารถยนต์
เลือก แบตเตอรี่รถยนต์ แบบไหนให้เหมาะสมกับการใช้งาน
1. เลือกจากยี่ห้อที่เชื่อถือได้
การเลือกแบตเตอรี่รถยนต์เพื่อใช้งานนั้น ควรเลือกจากยี่ห้อที่น่าเชื่อถือ ซึ่งจะทำให้เราได้สินค้าที่มีมาตรฐาน ปลอดภัยต่อการใช้งาน
2. เลือกกำลังไฟให้เหมาะสม
ความจุของแบตเตอรี่หรือกำลังไฟนั้น เป็นสิ่งสำคัญต่อการเลือกแบตเตอรี่สักลูก หากรถยนต์ของเราเป็นรถขนาดไม่เกิน 1,800 CC ก็เลือกแบตเตอรี่ขนาด 45 แอมป์ – 60 แอมป์ ก็เพียงพอต่อการใช้งาน หากรถยนต์ของเรามีขนาด CC มากกว่านั้น หรือเป็นรถที่ติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มเติม เช่น เครื่องเสียง ที่ต้องใช้กำลังไฟมากขึ้น ก็เลือกแบตเตอรี่ขนาด 70 แอมป์ – 90 แอมป์ จะได้มีกำลังไฟเพียงพอต่อการใช้งาน แน่นอนว่าการใช้แบตเตอรี่ที่เก็บไฟได้มากย่อมดีกว่า แต่การใช้แบตเตอรี่ที่ไม่เหมาะสมกับขนาดรถ เช่น รถขนาดเล็กแต่ใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่จะส่งผลต่อไดชาร์จที่ต้องทำงานหนักเกินไป และสิ้นเปลืองเงินโดยไม่จำเป็น
3. เลือกจากลักษณะขั้วแบตเตอรี่
รถแต่ละยี่ห้อจะมีลักษณะการจัดวางแบตเตอรี่ในห้องเครื่องที่แตกต่างกัน ซี่งขั้วของแบตเตอรี่นั้นจะมีแบบ ขั้วลอยและขั้วจม เราต้องเลือกแบตเตอรี่ให้ตรงกับคู่มือรถระบุเอาไว้ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาใส่แบตเตอรี่ไม่ได้หรือร้ายแรงถึงขั้นไฟช็อตห้องเครื่องได้
ข้อดี-ข้อด้อยของแบตเตอรี่รถแต่ละประเภท
1. แบตเตอรี่แบบน้ำ
แบตเตอรี่แบบน้ำนั้นมีข้อดีคือราคาถูก หากไม่ปล่อยให้น้ำกลั่นแห้ง จะมีอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยนานกว่าแบตเตอรี่ประเภทอื่น แต่ก็มีข้อด้อยในเรื่องที่ต้องหมั่นตรวจสอบน้ำกลั่นอยู่เป็นประจำ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความรู้ในเรื่องของการดูแลรักษารถยนต์
2. แบตเตอรี่แบบกี่งแห้ง
มีข้อดีคือไม่ต้องคอยดูแลระดับน้ำกลั่นมากนัก อาจจะตรวจเช็กไปพร้อมกับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะ ทำให้ไม่ต้องกังวลหากลืมตรวจเช็ก แต่ก็มีข้อด้อยก็คือยังต้องเติมน้ำกลั่นอยู่ดี แต่ก็เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการตรวจเช็กบ่อย ทั้งนี้มีราคาแพงกว่าแบตเตอรี่ประเภทน้ำ
3. แบตเตอรี่แบบแห้ง
แบตเตอรี่แบบแห้งนั้นมีข้อดีคือไม่ต้องตรวจเช็กน้ำกลั่นแต่อย่างใด เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีความรู้เรื่องการดูแลรักษารถยนต์ด้วยตัวเอง หรือคนที่ไม่ชอบในเรื่องการตรวจเช็กแบตเตอรี่ด้วยตัวเอง แบตเตอรี่ประเภทนี้มีราคาค่อนข้างสูงและอายุการใช้งานอาจจะน้อยกว่า แต่ก็แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อายุการใช้งานแบตเตอรี่รถนั้นโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2-3 ปี แต่ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานด้วยเช่นกัน ทางที่ดีเราควรนำรถเข้าไปตรวจวัดค่าระดับไฟของแบตเตอรี่ทุกครั้งที่นำรถไปตรวจเช็กตามระยะหรือเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เพื่อตรวจสอบว่ากำลังไฟของแบตเตอรี่รถของเรายังดีอยู่หรือไม่ จะได้เปลี่ยนล่วงหน้าก่อนที่แบตเตอรี่จะเสื่อมจนรถสตาร์ทไม่ติด หากเป็นเช่นนั้นในเวลาเร่งรีบ คงจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีเป็นแน่ โดยสามารถเข้าไปเลือกซื้อแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ รวมถึงอุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ สำหรับการดูแลรักษารถยนต์ได้ที่ลาซาด้า
Comments 2