คริปโตเคอเรนซี่ เป็นการลงทุนรูปแบบใหม่ ที่วงการการเงินรู้จักกันเป็นอย่างดี โดยจุดเด่นคือผลตอบแทนสูง ผันผวนมาก สร้างผลตอบแทนจำนวนมากได้ในระยะเวลาอันสั้น และสามารถเทรดได้ทุกวันไม่มีวันหยุด ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนในตลาดหุ้นที่มีเวลาเปิดปิดที่ชัดเจน ด้วยความเสี่ยงจากการขาดทุนจึงมากกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่นด้วย ดังนั้นก่อนเริ่มลงทุนในเหรียญ Cryptocurrency ต้องศึกษาพื้นฐาน และจัดการความเสี่ยงให้ดีก่อน
Cryptocurrency เกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นผู้คิดค้น
ผู้ใช้นามแฝง “ซาโตชิ นากาโมโตะ” เป็นผู้คิดค้นเหรียญคริปโตเหรียญแรก ที่มีชื่อว่า “บิทคอยน์” ด้วยแนวคิดที่เชื่อว่าเงิน (Fiat Currency) ที่ใช้เป็นตัวกลางสำหรับแลกเปลี่ยนสินค้า และบริการไม่มีประสิทธิภาพมากพอ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ รวมทั้งธนาคารขนาดใหญ่หลายแห่งมีบทบาทควบคุมให้นโยบายทางการเงินของโลกออกมาในทิศทางใด
ซึ่งนโยบายด้านการเงินหลายครั้งก็ล้มเหลว ส่วนหนึ่งเพราะ Moral Hazard (ภาวะภัยทางศีลธรรม) ที่ผู้บริหารธนาคารทำงานผิดพลาด (เพราะหลายคนคิดว่าเงินลงทุนไม่ใช่ของตัวเอง อยากดำเนินธุรกิจให้เสี่ยงยังไงก็ได้ ยิ่งผลตอบแทนเยอะ ตนเองก็ได้เผลตอบแทนมากตาม) จนผู้ฝากเงินและนักลงทุนต้องสูญเงินจำนวนมาก
ประกอบกับบริการทางการเงินในปัจจุบันนั้น คนจำนวนมากเข้าไม่ถึงเนื่องจากอยู่ในพื้นที่ห่างไกล และการโอนเงินระหว่างประเทศก็ใช้ระยะเวลานานด้วย ซึ่ง Cryptocurrency ก็ได้มีบทบาทเข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ
Crypto ได้รับการพัฒนาโดยเทคโนโลยี Blockchain ทำให้ความปลอดภัยสูง ยากแก่การโจรกรรม ซึ่งผู้คนที่หันมาใช้งานสกุลเงินคริปโตส่วนหนึ่ง เพราะเชื่อมั่นในระบบความปลอดภัยที่การฝากเงินในธนาคารปกติไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเหรียญคริปโตไม่มีตัวกลางแลกเปลี่ยน ใช้คอมพิวเตอร์ดำเนินการทุกขั้นตอน
เมื่อมีการทำธุรกรรมใด ๆ ลงในระบบ ข้อมูลทุกอย่างจะถูกส่งไปยังผู้ใช้งานทั้งหมด เป็นการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลกันและกัน เปรียบเสมือนห่วงโซ่ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ยากที่จะมีการโจรกรรมกับเหรียญคริปโต
เหรียญ คริปโตเคอเรนซี่ ที่นิยมในปัจจุบัน
คริปโตฯ มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด นับแต่ปี 2009 ที่มีเพียง Bitcoin เป็นสกุลเงินแรก แต่ต่อมาก็ได้มีผู้พัฒนาสร้างสกุลเงินใหม่ ๆ โดยคาดการณ์กันว่าปัจจุบันมีมากถึง 23,000 สกุลเงิน ซึ่งถึงแม้จะมีจำนวนเหรียญหลักหมื่น แต่เหรียญที่ได้รับความนิยมอย่างสูงมีดังนี้
- Bitcoin หาก Fiat Currency มีทองคำเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับสกุลเงิน Cryptocurrency ก็ถือว่า Bitcoin เปรียบเสมือนทองคำของสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะถูกสร้างมาเพื่อรักษามูลค่าของสินทรัพย์ (Store Value) และ Bitcoin มีความผันผวนด้านราคาต่ำกว่าเหรียญรูปแบบอื่น ที่สำคัญเหรียญคริปโตจำนวนไม่น้อย อ้างอิงหลักทรัพย์ค้ำประกันจากจำนวน Bitcoin ที่มี จึงยิ่งทำให้เหรียญชนิดนี้มีความน่าเชื่อถือ และพิสูจน์ให้เห็นหลายครั้งว่า ถึงแม้จะเกิดวิกฤตสกุลเงินดิจิทัลมากน้อยเพียงใด Bitcoin ก็ไม่เคยล้มเหมือนกับเหรียญอื่น ๆ
- Ethereum เหรียญขนาดใหญ่อันดับ 2 ที่สร้างขึ้นสำหรับการพัฒนาวงการสินทรัพย์ดิจิทัลต่าง ๆ โดยให้นักพัฒนา สามารถพัฒนาแอปพลิเคชันบน Ethereum ซึ่งปัจจุบันเครือข่ายที่สร้างบน Ethereum หลายคนคุ้นหูกันดี ได้แก่ NFT และ Defi จึงเปรียบเสมือน Ethereum เป็นคอมพิวเตอร์กลางของโลกที่ทุกคนเข้าถึงได้
- USDT การเทรดสกุลเงินดิจิทัลนั้น จำเป็นต้องมีเหรียญกลางที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนซื้อขายระหว่างเหรียญ A ไปยังเหรียญ B ซึ่งเหรียญ USDT ถูกออกแบบมาทำหน้าที่ดังกล่าว เพราะความน่าเชื่อถือสูงที่สุด ในบรรดาเหรียญตัวกลางอื่น เนื่องจากใช้เงินดอลลาร์ค้ำประกันในสัดส่วน 1:1 และมูลค่ายังคงอยู่ที่ 1 USD ถึงแม้ราคาจะหลุดลงไปบ้างบางช่วง แต่ก็ยังดีดตัวกลับมาที่ 1 USD ได้
เกี่ยวกับ คริปโตเคอเรนซี่ ที่ควรรู้ ป้องกันความเสี่ยงก่อนการลงทุน
การลงทุนในคริปโตมีความเสี่ยงสูง เพราะนักลงทุนต่างคาดหวังผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนทั่วไป โอกาสขาดทุนจึงสูงมากเช่นกัน ซึ่งก่อนลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลมีข้อควรรู้ดังนี้
- Stop loss
การเทรดสกุลเงินดิจิทัล ไม่มีวันหยุด และตลาดเปิดให้เล่นทั้งกลางวัน-กลางคืน ซึ่งในช่วงเวลาการเทรด อาจมีเหตุการณ์บางอย่างเข้ามากระทบราคาได้ทุกเมื่อ เช่น การขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน หรือการขายของวาฬ (ผู้ถือเหรียญในปริมาณมาก) ก็ล้วนส่งผลให้ราคาเหรียญคริปโตลดลงมากกว่าปกติได้ทั้งสิ้น
ซึ่งการตั้งจุดขาดทุน (Stop-loss) จะช่วยลดโอกาสล้างพอร์ต ในช่วงเวลาที่เราไม่ได้นั่งเฝ้ามือถือหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์
- อย่าเล่น Margin เยอะเกินไป
Margin เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้มีเงินมากกว่าเงินจริงที่อยู่ในพอร์ต ยิ่งผู้เทรดใช้มาร์จิ้นมากเท่าไหร่ ย่อมมีโอกาสทำกำไรและขาดทุนมากขึ้น ซึ่งการใช้มาร์จิ้นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดมือใหม่ เพราะระดับราคาขึ้นลงเพียงแค่ 1% มูลค่าเงินดิจิทัลในพอร์ตก็อาจผันผวนได้ถึง 5 -10% (ขึ้นอยู่กับจำนวนมาร์จิ้นที่ใช้)
ทำให้ต้องรีบซื้อและรีบขายออกในเวลาอันสั้น นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าต่างบอกว่าการเล่นแบบนี้ไม่ต่างจากการพนันเท่าไหร่นัก เนื่องจากอาจทำกำไรแตะระดับ 1,000 – 10,000% แต่ถ้าผิดทางหลายคนก็ล้างพอร์ตมูลค่าเงินเหลือ 0 เลยทันที
- ไตร่ตรองความถูกต้องของข้อมูล
ระหว่างเทรดเงินสกุลดิจิทัล จะมีข่าวดี-ข่าวร้ายออกมากระทบกับราคาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้มีชื่อเสียงที่มีอิทธิพลต่อระดับราคามักออกมาให้ข่าว และหลายครั้งข่าวที่ออกมาเป็นเพียงข่าวลือและข่าวปลอมเพื่อดันราคาให้ไปอยู่ในจุด ATH (All Time High) ก่อนที่จะขายเหรียญออกมาล็อตใหญ่ ทำให้นักเทรดต่างติดดอยขาดทุนไปตาม ๆ กัน
หนังสือสอนการลงทุนรูปแบบอื่นที่น่าสนใจ
หากอยากลองกระจายความเสี่ยงมาลงทุนในรูปแบบอื่น ที่ระดับความผันผวนน้อยกว่าคริปโตเคอเรนซี่มีหนังสือที่แนะนำดังนี้
- โต้คลื่นหุ้น :เทคนิคทำกำไรทะลุฟ้า
หนังสือที่สอนการเล่นหุ้นด้วยการดูกราฟ จังหวะการกลับตัว แท่งเทียน รวมไปถึงเครื่องมือสาย Technical ต่าง ๆ เพื่อหาจุดเข้าซื้อ และจุดขายในระยะสั้น เหมาะสำหรับสาย day trade ซึ่งหนังสือเล่มนี้ยังสามารถประยุกต์ใช้กับการดูกราฟของสกุลเงินดิจิทัลได้ด้วย
- ปั้นพอร์ตลงทุน ด้วยสุดยอดหุ้นพื้นฐาน
การเล่นแบบสายเทรดทุกวันอาจเสี่ยงเกินไป สำหรับผู้ไม่มีเวลาด้วยแล้ว การลงทุนแบบเน้นคุณค่าถือว่าตอบโจทย์อย่างยิ่ง เนื่องจากนักลงทุนสามารถวิเคราะห์งบการเงิน ความถูก-แพงของบริษัทจากค่า P/E หรือธรรมาภิบาลของผู้บริหารในช่วงวันหยุดได้ ทำให้มีโอกาสได้หุ้นดีราคาถูก มากกว่าการเทรดแบบรายวันที่มีโอกาสขาดทุนค่อนข้างมาก
การเทรดสกุลเงินคริปโต มีประโยชน์ในด้านของการทำกำไรในเวลาสั้น ๆ แต่คำว่า High risk High return ก็ยังใช้ได้ดีอยู่เสมอ เพราะคุณอาจขาดทุนระดับ 70 – 90% ซึ่งเป็นเรื่องปกติของวงการนี้ ดังนั้น การจัดการความเสี่ยงด้วยการตั้ง stop loss และไม่เล่นมาร์จิ้น จะช่วยให้คุณยังคงเป็นนักลงทุนคริปโตได้ในระยะยาว
ที่มาข้อมูล: krungsri , admiralmarkets , finnomena , techsauce